หมอลืมอุปกรณ์ในเหงือก 5 ปี ไร้เยียวยา - ขอความเป็นธรรม

หมอลืมอุปกรณ์ในเหงือก 5 ปี ไร้เยียวยา - ขอความเป็นธรรม

ดิฉัน นางกฤติกา ฤทธิขันธ์ ย้ายตามสามีลงไปอยู่ 3 ชายแดนใต้ เมื่อปี 2549 โดยนิสัยเป็นคนชอบทำอาหาร และทุกครั้งที่ทำ ใครได้ชิมอาหารฝีมือดิฉันต่างก็ชื่นชอบ และได้รับคำชมอยู่เสมอ...นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับดิฉัน ที่เคยเป็นข่าวเมื่อต้นปี แต่ตอนนี้ เรื่องกลับเงียบหาย
เมื่อสิ้นปี 57 ดิฉันมีอาการปวดฟัน จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง หมอตรวจเจอฟันคุดต้องผ่าหมอจึงนัดผ่า วันที่ 9 ม.ค.2558 ดิฉันได้รับการผ่าฟันคุดที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งนั้น โดยไม่มีคำแนะนำใดๆ ในเรื่องว่า เกินความสามารถ ควรไปผ่ากับแพทย์เฉพาะทาง หลังผ่าเสร็จ หมอได้แจ้งดิฉันว่า มีพลาสติกอันเล็กๆ ตกลงไปในช่องเหงือก แต่ ปลอดภัย ฆ่าเชื้อแล้ว เมื่อแผลประสานมันจะลอยขึ้นมาเอง ไม่ต้องห่วง ให้ดิฉันกลับบ้านอย่างสบายใจ และไม่ได้ส่งตัวไปรักษาต่อโดยคุณหมอเฉพาะทาง ชี้แจงว่า หากผ่าออกในทันทีจะเสี่ยงต่อการตกเลือด (แต่เมื่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญในภายหลัง ความจริงก็สามารถทำได้ถ้าพักฟื้นแล้วสักเดือนสองเดือน)
เมื่อกลับถึงบ้านดิฉันรู้สึกว่า ฟัน เหงือก ปากล่างด้านขวาชาทั้งหมด เคี้ยวอาหารข้างนี้ไม่ได้ ลิ้นรับรสอาหารไม่ได้ ลิ้นรู้สึกแปล๊บๆ จี๊ดๆ เหมือนเป็นเหน็บอยู่ตลอดเวลา ได้กลับไปพบคุณหมอที่ รพ. เดิม 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งคุณหมอก็บอกเหมือนเดิมว่าอาการต่างๆ เป็นผลข้างเคียงจากการผ่าฟันคุด ไม่ได้พูดถึงหัวกรอที่ทำหักคาไว้เลย ให้เพียงยาวิตามินมาทาน แล้วรอดูอาการเอง 6 เดือนถึง 2 ปี โดยไม่นัดต่อ
ปากชาไม่หายแล้ว
พ.ค.2558 สามีของดิฉันได้รับคำสั่งย้ายกลับอีสาน ก็เฝ้าติดตามอาการของตัวเองอยู่เรื่อยมา จนครบ 2 ปีตามที่หมอบอก และได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งใหม่ หมอแจ้งว่า หากเกิน 2 ปี อาการชามันไม่หายแล้ว ให้ทำใจ โดยไม่มีการตรวจหรือ X-ray ใดๆ ดิฉันจึงจำใจใช้ชีวิตแบบนี้เรื่อยมา แต่ก็หวังว่าสักวันจะหายเป็นปกติ
- ผ่านไป 5 ปี จนได้มีโอกาสทำ X-ray ทั่วปาก พบหัวกรอนั้นยังอยู่ กดทับเส้นประสาท และมีการติดเชื้อร่วมด้วย ทำให้ดิฉันหวั่นวิตกเรื่องผลข้างเคียงเป็นอย่างมาก เพราะดิฉันเชื่อตามที่หมอต้นเรื่องบอกว่า มันปลอดภัย และคิดว่ามันลอยออกมาแล้ว แต่เมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ และทำอันตรายกับร่างกาย ดิฉันจึงอยากให้นำออกโดยปรึกษากับหมอเฉพาะทางที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ แต่คุณหมอคนใหม่ก็ไม่รับรอง ว่าถ้าหากผ่าออกแล้ว อาการต่างๆ จะดีขึ้น ให้คงหัวกรอนี้ไว้ในปากแบบนี้ต่อไป ให้รักษาตามอาการเท่านั้น และไม่นัดต่อ
- 9 เม.ย. 2562 - อาการยังไม่ดีขึ้น ดิฉันไปหาหมอประจำอำเภอที่ดิฉันพักอาศัย คุณหมอก็บอกว่ามันติดเชื้อต้องเอาออก ดิฉันจึงนำเรื่องราวมาโพสลงเฟชบุ๊คส่วนตัว และตามเพจต่างๆ เพื่อขอคำแนะนำ ขอความช่วยเหลือ และหาข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นมีนักข่าวติดต่อมาหลายสำนักจนเป็นข่าว
- 28 มิ.ย 2562 ถือเป็นโชคดีของดิฉันที่ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการผ่าเอาหัวกรอนี้ออกให้อย่างปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน และตั้งโต๊ะแถลงการณ์ ว่ายินดีติดตามอาการจนกว่าจะหายดีเป็นปกติ ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตต่อไป ทำให้ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังผ่าตัด ดิฉันได้ติดต่อร้องเรียนกับหน่วยงานรัฐ ทั้งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทันตแพทยสภา สสจ. ผอ.โรงพยาบาลต้นเรื่อง และ สคบ. ตามเรื่องจนจิตตก นอนไม่หลับต้องเข้าโรงพยาบาล รักษาอาการปวดหลังผ่า ทรมานจากอาการปากชา เจ็บปวดทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ การเดินทางรักษาตัวแต่ล่ะครั้งก็ต้องรับผิดชอบเอง ไร้การช่วยเหลือใดๆ จากใคร หรือหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถูกพูดถึงในข่าว ทางโรงพยาบาลต้นเรื่อง เคยมีการแถลงข่าวชี้แจง บอกว่ายินดีจะให้ความเป็นธรรม ให้กับดิฉัน แต่ความจริงคือ ส่งจดหมายมาปฏิเสธกรณีขอค่าชดเชย และยังกล่าวหาดิฉัน ว่าไปทำให้ โรงพยาบาลถูกกล่าวหาในทางลบ
เรื่องราวของดิฉันไม่ใช่กรณีแรก และสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ดิฉันเข้าใจว่าไม่มีใครอยากตกเป็นผู้เสียหาย และเราก็รู้ดีว่าไม่มีคุณหมอคนไหนที่ตั้งใจอยากให้ความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วก็อยากให้ผู้ที่เสียหายได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสมกับที่ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ
ดิฉันจึงอยากวิงวอนขอแรงจากโลกโซเชียลทุกท่านช่วยลงชื่อสนับสนุน เพื่อให้เรื่องร้องทุกข์นี้ ไปถึงหูถึงตาท่านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้ที่มีอำนาจโปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมชดเชยค่าเสียหายในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ภายใต้อำนาจหน้าที่
และยังหวังด้วยว่าเรื่องของดิฉันจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายหันมามองเรื่องนี้จริงจังเสียที จะได้ไม่ต้องมีคนไข้คนไหนต้องแบกรับภาระแบบนี้ด้วยตนเองอย่างดิฉัน ดิฉันขอสนับสนุนให้ "เยียวยาผู้เสียหายโดยไม่ฟ้องหมอ" ด้วย ร่างพ.ร.บ.ผู้ได้รับผลกระทบจากบริการสาธารณสุข อย่างที่ได้มีการรณรงค์มาบน Change.org เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับความเสียหายทางการแพทย์ทุกคน